โครงการสตาร์เกท (Stargate Project): เมื่อ CIA ใช้ "พลังจิต" สอดแนมโซเวียต และสำหรับราวราวต่อไปนี้ เราจะมาวิเคราะห์เกี่ยวกับ พลังจิต: อาวุธลับสงครามเย็น กันครับ
เปิดแฟ้มลับ "สงครามพลังจิต": เมื่อมหาอำนาจแข่งกันสร้างอาวุธจากจิตใจมนุษย์!
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งในบล็อก "ท่านางข้าม" ที่จะพาคุณดำดิ่งสู่เรื่องราวลึกลับ น่าค้นหา และบางครั้งก็ชวนให้ขนลุก วันนี้ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับไปในยุคสงครามเย็น ช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันทางเทคโนโลยีอย่างดุเดือด แต่ในเงามืดของการแข่งขันอาวุธนิวเคลียร์ ยังมีการแข่งขันอีกรูปแบบหนึ่งที่ถูกปกปิดไว้เป็นความลับสุดยอด นั่นก็คือ "สงครามพลังจิต"!
ฟังดูเหลือเชื่อใช่ไหมครับ? แต่เป็นเรื่องจริงที่ทั้งสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาต่างทุ่มเททรัพยากรจำนวนมหาศาลเพื่อศึกษาและพัฒนา "พลังจิต" ให้กลายเป็นอาวุธลับชนิดใหม่ แล้วเรื่องราวนี้มันเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร? ตามผมมาเลยครับ...
จุดเริ่มต้นจากความหวาดระแวง: "ช่องว่างทางพลังจิต" ของโซเวียต
ในช่วงสงครามเย็น ข่าวคราวเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่หน่วยข่าวกรองของทั้งสองชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษ และในปี 1970s ก็มีรายงานลับที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับสหรัฐฯ อย่างมาก นั่นคือข่าวลือว่าสหภาพโซเวียตกำลังทุ่มเงินหลายล้านรูเบิลในการวิจัยด้านจิตวิทยาอาถรรพณ์ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า "พลังจิต" โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาความสามารถเหล่านี้ไปใช้ในทางการทหารและการข่าวกรอง
สิ่งที่น่าสนใจคือ โซเวียตพยายามที่จะนำเสนอเรื่องเหล่านี้ในกรอบของวิทยาศาสตร์ โดยหลีกเลี่ยงคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับ พวกเขาใช้คำว่า "ชีวสารสนเทศ" (bio-information) สำหรับการสื่อสารทางจิต และ "ชีวพลังงาน" (bioenergetics) สำหรับพลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ รวมถึงคำว่า "ไซโคทรอนิกส์" (psychotronics) ในประเทศเครือข่ายอย่างเชโกสโลวะเกีย เพื่ออธิบายการศึกษาพลังงานจิต การใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์นี้เองที่ทำให้ชาติตะวันตกเกิดความกังวลว่าโซเวียตอาจกำลังก้าวนำไปในการพัฒนา "อาวุธพลังจิต" ที่แปลกใหม่และทรงพลังจนคาดไม่ถึง
มีรายงานมากมายเกี่ยวกับการทดลองที่น่าเหลือเชื่อในโซเวียต เช่น กรณีของ นีน่า คูลากิน่า ที่ถูกกล่าวหาว่าสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุและแม้แต่หยุดการเต้นของหัวใจกบได้ด้วยพลังจิต แม้ว่าจะมีข้อกังขาและการกล่าวหาเรื่องการต้มตุ๋นตามมา แต่สำหรับหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ความเป็นไปได้ที่โซเวียตจะพัฒนาความสามารถเหล่านี้ไปเป็นอาวุธได้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้
สหรัฐฯ ตอบโต้: กำเนิดโครงการลับ "สตาร์เกท"
เมื่อทราบข่าวการวิจัยของโซเวียต สหรัฐอเมริกาภายใต้ความหวาดระแวงที่เรียกว่า "ช่องว่างทางพลังจิต" (psychic gap) จึงไม่อาจนิ่งเฉยได้ ในปี 1972 CIA ได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการลับสุดยอดที่ สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด (SRI) โดยมีเป้าหมายเริ่มต้นเพียงเพื่อประเมินว่าปรากฏการณ์พลังจิตสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการรวบรวมข่าวกรองได้หรือไม่
โครงการนี้มีการเปลี่ยนชื่อรหัสและผู้ดูแลหลายครั้ง ตั้งแต่ SCANATE, GONDOLA WISH/GRILL FLAME, CENTER LANE/SUN STREAK จนกระทั่งมาเป็นชื่อที่โด่งดังที่สุด นั่นคือ STARGATE ในปี 1991 วิธีการหลักที่ใช้ในโครงการคือ การมองระยะไกล (Remote Viewing - RV) ซึ่งเป็นเทคนิคในการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายที่มองไม่เห็น โดยไม่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั่วไป
อิงโก สวอนน์ ผู้มีพลังจิตที่ร่วมงานกับโครงการ ได้พัฒนาระเบียบวิธีที่เป็นระบบและสามารถสอนได้ เรียกว่า การมองระยะไกลแบบควบคุม (Controlled Remote Viewing - CRV) ซึ่งมีขั้นตอนที่ชัดเจนในการดึงข้อมูลทางจิตออกมา ทำให้เกิดความหวังว่าการมองระยะไกลไม่ใช่แค่พรสวรรค์ แต่เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้
สายลับพลังจิต: เรื่องเล่าและความจริงที่ซับซ้อน
มีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับความสำเร็จที่ถูกกล่าวอ้างของ "ผู้มอง" ในโครงการสตาร์เกท เช่น แพท ไพรซ์ ที่ถูกกล่าวหาว่าสามารถอธิบายรายละเอียดของฐานทัพลับของโซเวียตได้อย่างแม่นยำจากระยะไกล หรือ อิงโก สวอนน์ ที่อ้างว่ามองเห็นวงแหวนของดาวพฤหัสบดีก่อนที่จะมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตรวจสอบอย่างละเอียด ข้อเท็จจริงเหล่านี้กลับมีความซับซ้อนกว่าที่คิด มีข้อกังขาเกี่ยวกับการให้ข้อมูลล่วงหน้า (cueing) และการตีความข้อมูลที่คลุมเครือให้เข้ากับเป้าหมายในภายหลัง
โจเซฟ แมคโมนิเกิล หนึ่งใน "ผู้มอง" ที่มีชื่อเสียงของโครงการ อ้างว่ามีส่วนร่วมในภารกิจเชิงปฏิบัติการหลายร้อยครั้ง แต่รายงานสุดท้ายของหน่วยงานที่ประเมินโครงการกลับสรุปว่า ไม่มีกรณีใดที่ข้อมูลจากพลังจิตเป็นพื้นฐานหลักในการนำไปปฏิบัติการข่าวกรองได้จริง
จุดจบของ "สงครามจิต": การตรวจสอบและการยุติโครงการ
ตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน โครงการสตาร์เกทถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักวิทยาศาสตร์กระแสหลักในเรื่องระเบียบวิธีการวิจัยที่ไม่รัดกุม การขาดการควบคุมที่เหมาะสม และอคติของนักวิจัยเอง
ในปี 1995 รัฐสภาสหรัฐฯ ได้สั่งให้ CIA เข้าควบคุมโครงการและมอบหมายให้มีการประเมินผลอย่างอิสระ โดย American Institutes for Research (AIR) ผลการประเมินนั้นแตกออกเป็นสองฝ่าย นักสถิติ เจสสิกา อุทส์ พบว่ามีผลกระทบทางสถิติที่น่าสนใจเกิดขึ้นจริง แต่ เรย์ ไฮแมน นักจิตวิทยาผู้เป็นนักกังขาคติ กลับสรุปว่าข้อมูลที่ได้นั้นคลุมเครือ ไม่น่าเชื่อถือ และไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงปฏิบัติการได้
ในที่สุด CIA ก็ตัดสินใจยุติโครงการสตาร์เกทในปี 1995 หลังจากดำเนินงานมานานกว่าสองทศวรรษและใช้งบประมาณไปถึง 20 ล้านดอลลาร์
มรดกที่ยังคงอยู่: จากความลับสู่การฝึกฝน
แม้โครงการสตาร์เกทจะถูกปิดตัวลง แต่ความรู้และเทคนิคต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นก็ไม่ได้หายไปไหน อดีต "ผู้มอง" หลายคนได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวและถ่ายทอดเทคนิคการมองระยะไกลให้กับประชาชนทั่วไป ทำให้เกิดอุตสาหกรรมย่อยเกี่ยวกับการฝึกอบรมด้านนี้ขึ้น
นอกจากนี้ ความสนใจของรัฐบาลในศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในจิตใจมนุษย์ก็ยังไม่จางหายไป เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการศึกษาเรื่อง "สัญชาตญาณ" และ "การสังหรณ์ใจ" ในบริบทที่ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
เรื่องราวของ "สงครามพลังจิต" ในยุคสงครามเย็นเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งและชวนให้ขบคิด มันแสดงให้เห็นถึงความหวาดระแวง การแข่งขัน และความเชื่อที่ว่าอาจมี "อาวุธ" ที่ทรงพลังยิ่งกว่าเทคโนโลยีใดๆ ซ่อนอยู่ในจิตใจมนุษย์ แม้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายของโครงการเหล่านี้อาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่เรื่องราวของมันก็ยังคงเป็นที่น่าสนใจและถูกเล่าขานกันต่อไป
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องราวของ "สงครามพลังจิต" นี้? เชื่อว่าพลังจิตสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้จริงหรือไม่? หรือทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่เกิดจากความหวาดระแวงในยุคสมัยนั้น? ร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ในคอมเมนต์นะครับ สำหรับวันนี้ ผม "เอก" จากบล็อกท่านางข้าม คงต้องลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในเรื่องราวลึกลับครั้งหน้า สวัสดีครับ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น