ป่าลับแล เป็นตำนานหลอกลวง หรือเป็นความลับดำมืดที่มีอยู่จริงกันแน่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้คนมากมายพยายามศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวนี้
วันนี้เราจะพาทุกท่านไปพบกับ “ปกรณ์” ชายหนุ่มผู้หลงใหลในเรื่องลี้ลับ ตำนานเมืองลับแล “ลิน” หญิงสาวผู้มีสัมผัสพิเศษ รู้สึกถึงพลังงานลี้ลับ และ “ปู่แก่” ผู้เฒ่าผู้เก็บรักษาความลับของป่าลับแล
ปกรณ์และลิน เดินป่าตามหาเมืองลับแล พวกเขาค่อย ๆ เดินเสาะหาและลึกเข้าป่าในตำนานไปเรื่อย ๆ พวกเขาเผชิญกับอุปสรรคมากมาย เสียงสัตว์ป่า เสียงน้ำตก เสียงลมพัดผ่านต้นไม้ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ป่าแห่งนี้
(ปกรณ์พูด) “ลิน เธอรู้สึกอะไรไหม? มันเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในป่านี้”
(ลินพูด) “รู้สึกเหมือนมีสายตาแอบมองเราอยู่ตลอดเวลา รู้สึกขนลุกจัง”
สักพักไม่นานหลังหมอกจางลงก็ปรากฏเป็นกระท่อมและปู่แก่ท่านหนึ่ง อาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่า เมื่อเห็นถึงความตั้งใจของทั้ง 2 คน ปู่แก่จึงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองลับแล
(ปู่แก่) “เมืองลับแลไม่ใช่แค่ตำนาน มันเป็นสถานที่จริง แต่มันมีพลังงานลี้ลับปกคลุมอยู่ คนที่เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จะหลงทางและตาย อีกทั้งใครก็ตามที่คิดจะทำลายเมืองลับแล มันผู้นั้นจะต้องถูกคำสาป”
(ปกรณ์) "เอาะ อ๋อ ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ แล้วทำอย่างไรถึงจะเข้าไปได้ครับ?"
(ปู่แก่) "เจ้าต้องมีจิตใจบริสุทธิ์ และต้องได้รับการนำทางจากผู้พิเศษ"
ปู่แก่ใช้พลังพิเศษ เปิดทางให้ปกรณ์และลินเข้าไปในเมืองลับแล เมืองลับแลเต็มไปด้วยผู้คนแต่งกายโบราณ ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุข 2 หนุ่มสาวได้เห็นความสงบสุข ที่นี่ราวกับเป็นเมืองแห่งสวรรค์ ผู้คนมากมายต่างใจดีมีน้ำใจ ใช้ชีวิตกันแบบพึ่งพาอาศัย มีน้ำใจต่อกัน ทว่าลินกลับสัมผัสถึงบางอย่าง
(ลิน) “แปลกจัง ฉันสัมผัสได้ถึงความทุกข์ และการสำนึกผิดในบาป เธอดูที่ลาพวกนั้นสิ ความรู้สึกนี้มาจากลาพวกนั้น ที่กำลังถูกใช้แรงงาน”
(ปกรณ์ หัวเราะนิด ๆ) “เธอคิดมากไปเองหรือเปล่าลิน อาจเพราะเธอเป็นคนดีมีเมตตาต่อสัตว์ ก็นี่มันเป็นยุคโบราณนะ ยุคนี้เขาใช้แรงงานจากสัตว์ แน่นอนล่ะ อาจมีสัตว์บางตัวที่ต้องเหนื่อย ต้องทุกข์ ฉันว่ามันเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่น่ะ อย่าคิดมากเลย”
ปกรณ์และลิน ใช้เวลากับผู้คนในเมืองลับแล เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี อยู่ค้างแรมที่นี่จนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งรู้สึกว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านเสียที
ปกรณ์และลิน ตัดสินใจออกจากเมืองลับแล ปู่แก่เตือนพวกเขาว่า ห้ามบอกเรื่องราวของเมืองลับแลให้ใครฟังเด็ดขาด เพราะกลัวว่าอาจจะมีคนมาทำลายเมืองลับแลอันสวยงาม หากไม่เชื่อฟัง คนที่บอกจะต้องรับผิดชอบและโดนคำสาปไปพร้อมกับคนที่มาทำลายเมืองลับแลไปตลอดการ ปกรณ์และลินรับปากพร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญา
ปกรณ์และลิน กลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่พวกเขาไม่เคยลืมเมืองลับแล พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกสองใบ เมืองนึงที่พวกเขาอยู่คือยุคปัจจุบัน ส่วนอีกเมืองนึงก็เป็นยุคโบราณ มันเหมือนโลกคู่ขนานที่ดำเนินชีวิตซ้อนทับกันอยู่ ทุกอย่างดูจะราบรื่น ทั้ง 2 ยังคงรักษาความลับดั่งคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับปู่แก่
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อมีกลุ่มคนที่ได้ยินเรื่องราวของเมืองลับแลมาจากไหนไม่รู้ แล้วเข้ามาหาปกรณ์ เพื่อขอคำแนะนำ รบเร้าขอให้ช่วย สุดท้ายหัวใจของปกรณ์กลับตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าเขาจะได้กลับไปเยือนยังถิ่นเดิมที่เขายังคงคิดถึง นั่นคือป่าแห่งเมืองลับแล ปกรณ์จึงได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กลุ่มคนพวกนี้จนหมดสิ้น และได้ชวนกันไปพิสูจน์ว่าเมืองลับแลมีจริง
ปกรณ์พากลุ่มคนพวกนี้ไปหากระท่อมปู่แก่ แต่กลุ่มคนพวกนี้กลับมีความโลภ พยายามจับปู่แก่เพื่อบีบบังคับให้บอกทางเข้าไปยังเมืองลับแล ทั้งยังทำร้ายร่างกายของปู่แก่ต่าง ๆ นานา จนปู่แก่ต้องเปิดมิติเมืองลับแลขึ้นมา
แต่แทนที่กลุ่มคนพวกนี้รวมทั้งปกรณ์จะได้ท่องเที่ยวชมวิถีชีวิตของคนโบราณในเมืองลับแล กลับกลายเป็นพวกเขาทั้งหมดถูกสาปให้เป็นลาใบ้ ที่ต้องถูกใช้แรงงานอย่างหนักในเมืองโบราณแห่งนี้ไปตลอดกาล แม้ว่ามีบางคนรู้สึกสำนึกผิดในบาปของตัวเองแล้ว แต่ด้วยความใบ้จึงไม่สามารถพพูดหรือเปล่งเสียงร้องแห่งความทุกข์ออกมาได้เลย ได้แต่รอคอยว่าสักวันจะมีใครสักคนที่มีสัมผัสพิเศษสามารถรับรู้ในความรู้สึกสำนึกผิดนี้ได้
วันหนึ่งมีหญิงชายคู่หนึ่งแต่งตัวแปลก ๆ เข้ามายังเมืองลับแลแห่งนี้
(ลิน) “แปลกจัง ฉันสัมผัสได้ถึงความทุกข์ และการสำนึกผิดในบาป เธอดูที่ลาพวกนั้นสิ ความรู้สึกนี้มาจากลาพวกนั้น ที่กำลังถูกใช้แรงงาน”
(ปกรณ์ หัวเราะนิด ๆ) “เธอคิดมากไปเองหรือเปล่าลิน อาจเพราะเธอเป็นคนดีมีเมตตาต่อสัตว์ ก็นี่มันเป็นยุคโบราณนะ ยุคนี้เขาใช้แรงงานจากสัตว์ แน่นอนล่ะ อาจมีสัตว์บางตัวที่ต้องเหนื่อย ต้องทุกข์ ฉันว่ามันเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่น่ะ อย่าคิดมากเลย”
(ลา/ปกรณ์) นะ นี่เรา ย้อนเวลากลับมาที่เดิม มาเจอตัวเองอีกคน แต่คราวนี้เราคนนี้เป็นลา (จบ)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น