ท่ามกลางแสงตะวันยามรุ่งอรุณแห่งฤดูร้อน ปี 1685 ณ กรุงลอนดอน อารยา นักปรัชญาธรรมชาติผู้เปี่ยมด้วยปณิธาน ยืนอยู่ ณ ห้องสมุดอันโอ่อ่าของราชสมาคมแห่งลอนดอนเพื่อการปรับปรุงความรู้ทางธรรมชาติ
เธอจ้องมองหนังสือเล่มหนา ซึ่งบรรจุองค์ความรู้ที่รวบรวมมาตลอดชีวิตของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เธอปรารถนาที่จะไขปริศนาแห่งธรรมชาติของปัญญาและการเรียนรู้
อารยาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาปัดฝุ่นอย่างแผ่วเบา หน้าปกหนังสือเล่มนั้นเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ ว่า "De Magnete" (ว่าด้วยแม่เหล็ก) ผลงานของวิลเลียม กิลเบิร์ต เธอเปิดหนังสืออย่างระมัดระวัง พลิกอ่านแต่ละหน้าอย่างตั้งใจ จนกระทั่งมาสะดุดกับบทความหนึ่งซึ่งกล่าวถึง "หินแห่งปัญญา" ซึ่งว่ากันว่าสามารถขยายขอบเขตแห่งจิตใจและไขความลับของจักรวาลได้ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ อารยาจึงเริ่มค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ "หินแห่งปัญญา" เธอค้นพบว่าตำนานเล่าขานกันว่าหินก้อนนี้ถูกเก็บซ่อนไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งในอดีต ซึ่งมีเพียงผู้ที่คู่ควรเท่านั้นที่จะสามารถค้นพบได้
ในเย็นวันนั้น อารยาเดินทางไปยังหอดูดาวหลวงกรีนิช ซึ่งเป็นที่ตั้งของนาฬิกาเรือนแรกของโลก เธอปีนขึ้นไปบนยอดหอคอย มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดถึงความลับของจักรวาลอยู่นั้น เธอสังเกตเห็นแสงประหลาดวาบขึ้นมาจากกล้องโทรทรรศน์
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจึงเดินเข้าไปใกล้กล้องโทรทรรศน์และมองผ่านเลนส์เข้าไป ภาพที่เธอเห็นทำให้เธอตกตะลึง เธอเห็นตัวเองยืนอยู่ในห้องสมุดของราชสมาคมแห่งลอนดอน กำลังอ่านหนังสือเล่มเดียวกับที่เธอเพิ่งอ่านจบไปเมื่อครู่นี้
ทันใดนั้น แสงสว่างวาบจ้าขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้แรงกว่าเดิม อารยารู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในกล้องโทรทรรศน์ เธอหลับตาลงอย่างแน่นหนา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในหอดูดาวกรีนิชอีกต่อไป
เธออยู่ในห้องสมุดของราชสมาคมแห่งลอนดอน ยืนอยู่หน้าหนังสือเล่มเดิม แต่คราวนี้หนังสือเล่มนั้นเปิดอยู่ที่หน้าซึ่งมีภาพวาดของหินรูปทรงประหลาด อารยาจำได้ทันทีว่านี่คือ "หินแห่งปัญญา" ในขณะที่เธอกำลังพินิจพิจารณาภาพวาดอยู่นั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง เธอหันกลับไปมอง เห็นชายชราคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ เดินเข้ามาหาเธอ
"ข้ารอเจ้ามานานแล้ว อารยา" ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "เจ้าคือผู้ที่คู่ควรที่จะครอบครองหินแห่งปัญญา"
อารยาตกตะลึง เธอไม่รู้ว่าชายชราคนนี้เป็นใคร หรือรู้ชื่อเธอได้อย่างไร "ท่านเป็นใคร" เธอถาม
ชายชรายิ้ม "ข้าคือผู้พิทักษ์หินแห่งปัญญา ข้าถูกส่งมาจากอนาคตเพื่อนำทางเจ้า"
อารยายิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก เธอไม่เข้าใจว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร "อนาคต" เธอทวนคำพูดของชายชรา "ท่านมาจากอนาคตจริงหรือ"
ชายชราพยักหน้า "ใช่ ข้ามาจากอนาคต และข้ารู้ว่าเจ้าคือผู้ที่จะไขความลับของจักรวาลได้"
อารยายังคงไม่ปักใจเชื่อ แต่เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างบอกเธอว่าชายชราคนนี้พูดความจริง "แล้วข้าจะทำอย่างไรต่อไป" เธอถาม
ชายชรายิ้มอีกครั้ง "จงไปตามหาหินแห่งปัญญา แล้วเจ้าจะพบคำตอบที่เจ้าตามหา"
สิ้นคำพูดของชายชรา แสงสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง อารยารู้สึกเหมือนถูกดูดกลับเข้าไปในกล้องโทรทรรศน์ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในหอดูดาวกรีนิชอีกครั้ง เธอหันไปมองกล้องโทรทรรศน์ แต่ไม่เห็นแสงประหลาดอีกต่อไป เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอเพิ่งประสบมาไม่ใช่ความฝัน เธอรู้ว่าเธอต้องออกเดินทางเพื่อตามหาหินแห่งปัญญา แล้วเธอจะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของปัญญาและการเรียนรู้
ณ ห้องนอนอารยา อารยาตื่นขึ้นมาในห้องนอนของเธอเอง แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เธอจำเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ เธอไม่ได้ฝันไป
ด้วยความมุ่งมั่น เธอจึงเริ่มต้นการเดินทางตามหาหินแห่งปัญญา เธอเดินทางไปทั่วโลก ค้นคว้าในห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ พูดคุยกับนักวิชาการและนักสำรวจ เธอพบเบาะแสมากมาย แต่ก็ยังไม่พบหินที่แท้จริง
หลายปีผ่านไป อารยาเริ่มท้อแท้ เธอคิดว่าเธออาจจะถูกหลอก หรือบางทีหินแห่งปัญญาอาจเป็นเพียงแค่ตำนาน
วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดแห่งหนึ่ง เธอสะดุดกับบทความหนึ่งเกี่ยวกับ "หินโรเซตตา" ศิลาจารึกโบราณที่ช่วยให้นักวิชาการสามารถถอดรหัสอักษรอียิปต์โบราณได้
ทันใดนั้น อารยาก็เกิดความคิดขึ้นมา เธอรีบกลับไปที่ห้องสมุดของราชสมาคมแห่งลอนดอน เธอหยิบหนังสือ "De Magnete" ขึ้นมาอีกครั้ง และเปิดไปที่หน้าที่มีภาพวาดของหินแห่งปัญญา เธอเพ่งมองภาพวาดอย่างละเอียด คราวนี้เธอสังเกตเห็นบางสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ภาพวาดนั้นไม่ใช่แค่ภาพวาดธรรมดา แต่เป็นแผนที่! อารยาใช้เวลาหลายวันในการถอดรหัสแผนที่ เธอพบว่าแผนที่นั้นชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศอียิปต์ เธอรีบเก็บข้าวของและออกเดินทางทันที
หลังจากเดินทางมาถึงอียิปต์ อารยาใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการค้นหาสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ ในที่สุด เธอก็พบมัน มันคือสุสานโบราณแห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปในทะเลทราย
อารยาเข้าไปในสุสาน เธอเดินผ่านห้องโถงและทางเดินต่าง ๆ จนกระทั่งมาถึงห้องลับห้องหนึ่ง ในห้องนั้นมีแท่นหินขนาดใหญ่วางอยู่ ตรงกลางแท่นหินมีวัตถุรูปทรงประหลาดวางอยู่ อารยาเข้าไปใกล้วัตถุนั้น เธอสัมผัสผิวของมัน มันเย็นและเรียบ เธอรู้ทันทีว่านี่คือหินแห่งปัญญา (Effect แสงวาบขึ้นมา) เธอหยิบหินขึ้นมาถือไว้ในมือ ทันใดนั้น แสงสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง อารยารู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในหิน
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องสีขาวขนาดใหญ่ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใด ๆ นอกจากเก้าอี้ตัวเดียวที่วางอยู่ตรงกลางห้อง อารยาเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น "ยินดีด้วย อารยา" เสียงนั้นพูด "เจ้าได้ผ่านการทดสอบแล้ว"
อารยามองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นใคร "ใคร" เธอถาม
"ข้าคือปัญญา" เสียงนั้นตอบ "ข้าคือสิ่งที่เจ้าตามหา"
อารยาตกตะลึง เธอไม่เคยคิดว่าเธอจะได้พบกับปัญญาในรูปแบบนี้ "ข้ามีคำถามมากมาย" เธอพูด
"ถามมาได้เลย" ปัญญาตอบ
อารยาถามคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติของปัญญา การเรียนรู้ และจักรวาล ปัญญาตอบคำถามของเธอทั้งหมดอย่างละเอียดและชัดเจน
หลังจากที่ได้พูดคุยกับปัญญา อารยาก็เข้าใจทุกอย่าง เธอรู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องตามหาหินแห่งปัญญาอีกต่อไป เพราะเธอได้พบกับปัญญาที่แท้จริงแล้ว
เธอหลับตาลงและปล่อยให้ปัญญาไหลผ่านตัวเธอ เธอรู้สึกถึงความสงบสุขและความเข้าใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในสุสานอีกครั้ง เธอวางหินแห่งปัญญาลงบนแท่นหิน แล้วเดินออกจากสุสานไป
อารยากลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เธอเล่าเรื่องราวการผจญภัยของเธอให้ใครฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อเธอ แต่เธอไม่สนใจ เธอรู้ว่าเธอได้ค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว เธอจึงตัดสินใจตีพิมพ์สิ่งที่เธอได้รู้มาลงหนังสือ ต่อมาหนังสือที่เธอพิมพ์มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนสนใจ และได้อ่านมัน นำมาต่อยอดพัฒนาเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากมาย ที่ทำให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้าใจกัน ทว่ากลับไม่มีใครรู้เลย ว่าแท้จริงแล้ว ครั้งหนึ่งต้นกำเนิดของความรู้ของนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น มาจากอารยา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น