หมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ผู้มีปากที่เอาไว้พูดจาทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่ามันจะไปทางไหนก็มักจะพูดจาจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสมอ และนี่คือเรื่องราวกับผลที่ตามมา
ท่ามกลางป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์และสวยงาม มีหมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ มันขึ้นชื่อเรื่องความฉลาดแกมโกงและปากที่คมคาย แต่สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นกว่าใครคือความสามารถในการบิดเบือนคำพูดและสร้างเรื่องราวให้ร้ายผู้อื่นได้อย่างแนบเนียน
วันหนึ่ง ขณะที่จิ้งจอกกำลังเดินเล่นอยู่ในป่า มันก็บังเอิญเจอกับกระต่ายน้อย จิ้งจอกจึงเริ่มแผนการใส่ร้ายหมีตัวใหญ่ให้กระต่ายฟังทันที "เจ้ารู้ไหมว่าหมีน่ะ ชอบแอบขโมยแครอทของชาวบ้านไปกิน" จิ้งจอกพูดพลางทำสีหน้าจริงจัง "ถ้าไม่ระวังตัวล่ะก็ เจ้าอาจจะเป็นรายต่อไปก็ได้นะ"
กระต่ายน้อยตัวสั่นด้วยความกลัว รีบวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก จิ้งจอกหัวเราะอย่างพอใจกับผลงานของมัน
หมาจิ้งจอกเดินต่อไปเรื่อย ๆ หาเหยื่อรายใหม่ และก็ได้พบกับนกน้อยตัวหนึ่ง จิ้งจอกก็ไม่พลาดที่จะใส่ร้ายกระต่ายให้ฟังบ้าง "กระต่ายน่ะ ขี้ขลาดจะตาย" จิ้งจอกพูดอย่างดูถูก "พอเห็นเงาตัวเองก็ตกใจวิ่งหนีแล้ว"
นกน้อยหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ มันบินจากไปพร้อมกับทิ้งความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับกระต่ายไว้เบื้องหลัง
จิ้งจอกยิ้มเยาะอย่างมีชัย มันสนุกกับการสร้างความแตกแยกและความเข้าใจผิดในหมู่สัตว์ต่าง ๆ แต่การกระทำของจิ้งจอกไม่ได้รอดพ้นสายตาของผีเจ้าป่าผู้เฝ้าดูแลผืนป่าแห่งนี้ ท่านเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นและรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ท่านจึงตัดสินใจที่จะสั่งสอนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
วันหนึ่ง ขณะที่จิ้งจอกกำลังเพลิดเพลินกับการใส่ร้ายเต่าอยู่ ผีเจ้าป่าก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามัน "เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์" ผีเจ้าป่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลัง "ข้าเฝ้ามองดูเจ้ามานานแล้ว และข้าไม่พอใจในการกระทำของเจ้า เจ้าใช้คำพูดเพื่อทำร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกและความเข้าใจผิด ข้าจะลงโทษเจ้า”
ทันใดนั้น ปากของจิ้งจอกก็เริ่มบิดเบี้ยว คำพูดที่เคยหลั่งไหลออกมาอย่างคล่องแคล่วกลับกลายเป็นเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ มันพยายามอธิบาย แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้คนอื่นเข้าใจผิดมากขึ้น
จิ้งจอกตกใจและหวาดกลัว มันวิ่งหนีไปด้วยความอับอาย แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน มันก็ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ ทุกคนต่างพากันหวาดกลัวและหลีกเลี่ยงมัน จิ้งจอกเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง มันไม่เคยคิดว่าคำพูดที่เคยเป็นอาวุธของมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้ถึงเพียงนี้ มันเสียใจกับการกระทำในอดีตและอยากจะแก้ไข แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
วันหนึ่ง ขณะที่จิ้งจอกกำลังเดินเตร่ไปอย่างไร้จุดหมาย มันก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากพุ่มไม้ จิ้งจอกเข้าไปดูและพบว่าลูกนกตัวหนึ่งตกลงมาจากรัง มันพยายามจะปีนกลับขึ้นไป แต่ก็ทำไม่สำเร็จ จิ้งจอกมองดูลูกนกด้วยความสงสาร มันอยากจะช่วย แต่มันก็พูดไม่ได้ จิ้งจอกคิดอยู่นาน ในที่สุดมันก็ตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นไม้อย่างระมัดระวัง และค่อย ๆ พาลูกนกกลับขึ้นไปที่รังได้สำเร็จ
แม่นกเห็นดังนั้นก็ดีใจมาก มันบินมาขอบคุณจิ้งจอกด้วยความซาบซึ้ง แม้จะไม่เข้าใจเสียงที่จิ้งจอกเปล่งออกมา แต่มันก็รับรู้ได้ถึงความหวังดีจากแววตาของจิ้งจอก
จากวันนั้นเป็นต้นมา จิ้งจอกก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันใช้การกระทำแทนคำพูดเพื่อแสดงความจริงใจและช่วยเหลือผู้อื่น แม้จะไม่สามารถพูดได้เหมือนเดิม แต่มันก็ได้รับการยอมรับจากสัตว์อื่น ๆ อีกครั้ง
ผีเจ้าป่าเฝ้ามองดูจิ้งจอกด้วยความพอใจ ท่านเห็นว่าจิ้งจอกได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่าแล้ว จึงตัดสินใจถอนคำสาปให้ "เจ้าจิ้งจอก" ผีเจ้าป่าเอ่ย "ข้าดีใจที่เจ้าได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง ขอให้เจ้าจงใช้คำพูดอย่างระมัดระวังและสร้างสรรค์ต่อไป" จิ้งจอกก้มหัวขอบคุณผีเจ้าป่าด้วยความสำนึกผิด มันรู้แล้วว่าการกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูด และมันจะไม่ยอมให้คำพูดมาทำร้ายใครอีกต่อไป
ข้อคิดท้ายเรื่อง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คำพูดนั้นมีพลังมากมาย เราควรใช้มันอย่างระมัดระวังและสร้างสรรค์ อย่าใช้คำพูดเพื่อทำร้ายผู้อื่น เพราะสุดท้ายแล้วมันอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองได้ การกระทำที่จริงใจนั้นมีค่ามากกว่าคำพูดที่สวยหรูเสมอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น